พอตรวจพบว่ามีอาการเบาหวาน ข้อห้ามประการแรกที่ผู้ป่วยได้รับคำแนะนำจากหมอก็คือให้งดอาหารที่มีรสชาติหวานโดยเฉพาะอาหารที่เน้นน้ำตาลแบบจัดหนักและอาหารประเภทแป้งทั้งหลายที่เมื่อผ่านกระบวนการย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาลสะสมในเลือดเพิ่มเข้าไปอีกจนอาการเบาหวานรุนแรงขึ้น
การเจอข้อห้ามเช่นนี้เข้าไปก็เท่ากับว่าผู้ป่วยเบาหวานแทบจะไม่สามารถทานอาหารที่ขายอยู่ทั่วไปได้ นั่นเพราะอาหารกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ที่วางขายกันอยู่นั้นจะเน้นที่รสชาติจัดจ้านเป็นหลักซึ่งก็คือการเน้นที่รสชาติหวานเป็นตัวนำ แม้บางเมนูจะไม่ใช้รสหวานนำแต่ก็มีรสหวานแฝงอยู่ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่จึงมักจะต้องเจอกับอาหารที่ไร้รสชาติ อาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อจึงแทบจะไร้ซึ่งรสชาติ แต่ตอนนี้ไม่ต้องทนกับอาหารรสชาติแย่ๆอีกต่อไปเพราะมีสุดยอดเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมานำเสนอกันนั่นคือ "ส้มตำไทย" ซึ่งหาทานได้ทั่วไป
ส้มตำไทยถือเป็นสุดยอดอาหารสมุนไพรที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ในส้มตำไทย 1 ครก ประกอบไปด้วยวัตถุดิบหลัก ได้แก่ มะละกอดิบ มะเขือเทศ มะเขือยาว มะนาว กระเทียม พริก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนดีต่อสุขภาพเรียกว่า "สมุนไพรทั้งครก" เลยทีเดียว เพียงแต่ต้องปรับปรุงสูตรกันเล็กน้อยดังนี้
ตำรับส้มตำไทยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
• น้ำตาล: ปกติน้ำตาลปี๊บที่ใส่ลงไปในครกจะอยู่ที่ 1-2 ช้อนโต๊ะ (หรือมากกว่านั้น) ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ดังนั้นในเมนูนี้ห้ามใส่อย่างเด็ดขาด
• น้ำปลา: หากได้รับความเค็มมากๆจะส่งผลเสียต่อ "ไต" ดังนั้นในเมนูนี้ให้ลดปริมาณน้ำปลาลงโดยใส่ให้มีรสชาติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
• ผงชูรส: ผงชูรสกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเมนูส้มตำไป (แถมแม่ค้ายังใส่แบบจัดหนัก) แม้ว่าผงชูรสจะไม่มีรสให้ลิ้นสัมผัสว่า "เค็ม" แต่มันส่งผลเสียต่อไต ดังนั้นถ้าจะให้ดีในเมนูนี้ควรงด
• ถั่วลิสง: แม้ว่าถั่วลิสงเมื่อกินเข้าไปแล้วจะย่อยกลายเป็นน้ำตาล แต่เพื่อให้คงอรรถรสของส้มตำไทยเอาไว้ก็ใส่ลงไปเพียงเล็กน้อยให้มีกลิ่นและความกรุบกรอบเวลาเคี้ยวเท่านั้น
เมื่อทำตามข้อแนะนำด้านบนแล้ว เมนูส้มตำไทยที่ทานเข้าไปก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพจากสมุนไพร แม้รสชาติจะต่างไปจากที่คุ้นเคยกันบ้าง แต่ถือว่าอร่อยจัดจ้านไม่น้อยเพียงแค่ใช้ความเปรี้ยวและเผ็ดเป็นตัวนำ อาจเสริมด้วยกะหล่ำปี โหระพาหรือปลาดุกย่างหอมๆเพิ่มรสชาติเข้าไปอีกก็ได้